บริการ
TH
EN
TH
CN

“Baby Tech” เทคโนโลยีทางเลือกในการเลี้ยงลูกยุคใหม่ เพื่อพ่อแม่ยุคดิจิทัล

“มูลค่าตลาดบริการดิจิทัลเติบโตเพิ่มขึ้น เพราะประชาชนหันมาเรียนรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ และนำมาประยุกต์ใช้ในการดำรงชีวิตกันมากขึ้น โดยมูลค่าตลาดของอุตสาหกรรมบริการดิจิทัลยังคงมีแนวโน้มเติบโต จากแนวโน้มของโลกที่มุ่งสู่บริการดิจิทัลในทุกกลุ่มบริการ”

ผลการสำรวจมูลค่าตลาดการบริการดิจิทัลของผู้ให้บริการดิจิทัลที่จดทะเบียนในประเทศไทย ปี 2563 มีมูลค่ารวม 244,836 ล้านบาท คาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าตลาดที่ 306,360 ล้านบาทในปี 2564 และเพิ่มเป็น 363,270 ล้านบาท และ 391,834 ล้านบาท ในปี 2565 และ 2566 ตามลำดับ เมื่อพิจารณาอัตราการเติบโตของมูลค่าตลาดการบริการดิจิทัลในแต่ละประเภท พบว่า บริการเทคโนโลยีทางการแพทย์และสุขภาพ (HealthTech) มีอัตราการเติบโตมากที่สุด มีมูลค่าตลาดที่ 314 ล้านบาท โดยผู้ประกอบส่วนใหญ่เป็นวิสาหกิจเริ่มต้นหรือสตาร์ทอัพที่ให้บริการทางการแพทย์ผ่านออนไลน์ ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มการใช้งานมากขึ้นเรื่อยๆ จากความต้องการของทางโรงพยาบาลและผู้ป่วยรวมถึงญาติผู้ป่วย

สอดคล้องกับการคาดการณ์แนวโน้มทั่วโลกของ Gartner Top Strategic Technology Trends for 2022 ที่กล่าวว่าหนึ่งในเทคโนโลยีที่น่าสนใจ คือ AI Applications โดยจะเห็นได้จากการนำ Artificial Intelligence และ Machine Learning ที่ฉลาดขึ้น มีการโต้ตอบที่ดีขึ้น และสามารถขยายผลได้มากขึ้น (Smarter, Responsible, Scalable) มาประยุกต์ใช้มากขึ้น สำหรับในประเทศไทย AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญมากยิ่งขึ้นในทุกอุตสาหกรรม เพื่อตอบโจทย์ของผู้ใช้งานในยุคดิจิทัล โดยในกลุ่ม HealthTech ก็กำลังพัฒนาโปรแกรมสืบค้นหาข้อมูล (Search Engine) ด้านยา โดยใช้ AI มาประยุกต์กับการทำระเบียนยาเพื่อช่วยเภสัชกรและบุคลากรทางการแพทย์ ตลอดจนการทำระบบ HealthCoach ที่จะเชื่อมโยงการใช้ยา การออกกำลังกายของผู้ป่วย รวมถึงบันทึกการรับประทานอาหารเพื่อดูแลสุขภาพในองค์รวม ซึ่งเทคโนโลยี AI Applications จะเป็นเทคโนโลยีสำหรับทุกกลุ่มบริการดิจิทัล เพื่อขับเคลื่อนบริการให้เป็นไปตามความต้องการของผู้บริโภค

“จากกระแสสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง จะเห็นได้ว่าสถานการณ์โควิด 19 เป็นตัวกระตุ้นเทรนด์ในอนาคตอีกหลายปีข้างหน้าให้เกิดเร็วขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลที่เข้ามามีบทบาทต่อประชาชนทุกเพศทุกวัย รวมทั้ง “การเลี้ยงลูก” ในปัจจุบัน”

ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ที่ผ่านมา ไม่เพียงแค่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของพ่อแม่เท่านั้น แต่อาจเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายสำหรับพ่อแม่ ในการเลี้ยงดูลูก ๆ ที่ถูกตัดขาดจากสังคม หรือสิ่งแวดล้อมในวัยเรียน ทำให้พ่อแม่ต้องทำหน้าที่แทนครูและเพื่อน ๆ และต้องคอยดูแลหรือรับมือกับปัญทางสุขภาพจิต ความโดดเดี่ยว และอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงของลูก ๆ อีกด้วย โดยทางเลือกหนึ่งของพ่อแม่ยุคใหม่ คือ การนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการเลี้ยงลูก

ข้อมูลจาก Absolute Markets Insights ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจ Baby Tech ทั่วโลก โดยในปี 2564 ตลาดเทคโนโลยีสำหรับเด็กทั่วโลกมีมูลค่า 197.23 พันล้านดอลลาร์ (ราว 7,262.40 พันล้านบาท) และคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดจะเติบโตโดยประมาณร้อยละ 8.9 ในช่วงปี 2565-2573 ซึ่งมีผลมาจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ยุคใหม่ ที่เติบโตมาพร้อมกับการพัฒนาของเทคโนโลยี ทำให้พ่อแม่กลุ่มนี้กล้าที่จะนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการเลี้ยงดูลูก เพื่อการเลี้ยงลูกในทางที่ดีขึ้น ประกอบกับ สถานการณ์โควิด 19 ที่พ่อแม่ต้องทำงานที่บ้าน ทำให้ต้องนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการเลี้ยงดูลูก เพื่อให้สามารถเลี้ยงดูลูกไปพร้อมกับการทำงานได้พร้อม ๆ กัน

Baby tech เป็นเทคโนโลยีเพื่อช่วยพ่อแม่ในการดูแลลูกน้อย ตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ ระหว่างตั้งครรภ์ หลังคลอด รวมทั้ง การดูแลเลี้ยงดูลูก ที่มีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาช่วยแก้ Pain Point ที่คุณแม่ต้องประสบปัญหาต่าง ๆ โดยมีตัวอย่างของอุปกรณ์เทคโนโลยีที่จะช่วยให้พ่อแม่ยุคใหม่สามารถนำมาช่วยเลี้ยงดูลูกได้ดีขึ้นได้ ดังนี้

การติดตามการเจริญพันธุ์และการตั้งครรภ์:อุปกรณ์เทคโนโลยีกลุ่มนี้เป็นวิธีแก้ปัญหาที่มุ่งเป้าไปที่พ่อแม่ที่กำลังวางแผนจะตั้งครรภ์และต้องการติดตามกระบวนการของการตั้งครรภ์ ยกตัวอย่างเช่น แอปพลิเคชันสำหรับติดตามรอบเดือน อุปกรณ์อัจฉริยะสำหรับการทำนายวันที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการปฏิสนธิ และแกดเจ็ต/แอปพลิเคชันสำหรับตรวจสุขภาพทารกในครรภ์ เป็นต้น

โซลูชั่นการดูแลเด็ก: อุปกรณ์เทคโนโลยีกลุ่มนี้เป็นการดูแลลูกและการตรวจสุขภาพตลอด 24 ชั่วโมง ยกตัวอย่างเช่น อุปกรณ์สำหรับวัดระดับออกซิเจนในเลือดและอัตราการเต้นของหัวใจของทารก เทอร์โมมิเตอร์อัจฉริยะแบบไม่ต้องสัมผัส เครื่องชั่งน้ำหนักอัจฉริยะ เครื่องปั๊มนมอัจฉริยะติดตามประวัติการป้อนนมและควบคุมปริมาณน้ำนม และโถป้อนอาหารอัจฉริยะที่สามารถซิงค์กับแอปพลิเคชันเฉพาะได้ เป็นต้น

การเลี้ยงลูกอย่างชาญฉลาด: อุปกรณ์เทคโนโลยีกลุ่มนี้เป็นอุปกรณ์สำหรับตรวจสอบสภาพแวดล้อมและดูแลลูก ทั้งจากระยะใกล้และระยะไกล ยกตัวอย่างเช่น จอภาพวิดีโอสำหรับทารกพร้อมกล้องวิดีโอ ไมโครโฟน และลำโพงในตัว อุปกรณ์ GPS อัจฉริยะที่ติดตามตำแหน่งของเด็ก โซลูชั่นสำหรับการตรวจสอบอุณหภูมิอากาศและห้อง เบาะนั่งอัจฉริยะสำหรับรถยนต์ เป็นต้น

การเล่นและเรียนรู้เทคโนโลยี: นอกจากการดูแลสุขภาพ และเลี้ยงดูลูกน้อยแล้ว การช่วยให้เด็กได้พัฒนาทักษะการเรียนรู้และการเข้าสังคมก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ตัวอย่างอุปกรณ์เทคโนโลยีกลุ่มนี้ ได้แก่ ของเล่นหุ่นยนต์และชุดอุปกรณ์ก่อสร้างเพื่อการศึกษา เกมการเรียนรู้ การจำลองสถานการณ์ แพลตฟอร์มการศึกษา และผลิตภัณฑ์ EduTech ที่ใช้เทคโนโลยีความจริงเสริม หรือ AR (Augmented Reality) เป็นต้น

สหรัฐอเมริกา เป็นตัวอย่างประเทศที่ตลาด Baby tech กำลังเติบโต เพราะคนยุคมิลเลนเนียล (Millennials) หรือ เจเนอเรชันวาย (Gen Y) ที่เติบโตมากับยุคเทคโนโลยีกำลังจะมีลูก คนกลุ่มนี้จะมีการใช้เทคโนโลยี แกดเจ็ต สมาร์ทโฟน หรือแอพพลิเคชั่นเข้ามาช่วยในการเลี้ยงดูลูกมากขึ้น

นอกจากนี้ ครอบครัวคนรุ่นใหม่ ยังมีรายได้มากกว่ารุ่นพ่อแม่ จึงสามารถใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเลี้ยงดูลูกได้ ประกอบกับ ครอบครัวคนรุ่นใหม่จะเป็นครอบครัววัยทำงาน ที่พ่อแม่ต้องทำงานหารายได้มาเลี้ยงดูลูกๆ ดังนั้น เทคโนโลยีจึงเป็นตัวช่วยให้พ่อแม่ยุคใหม่สามารถเลี้ยงดูลูกไปพร้อมกับการทำงานได้พร้อมๆ กัน ด้วยเหตุผลดังกล่าง จึงเป็นปัจจุยสนับสนุนให้ตลาด Baby tech ในสหรัฐอเมริกาเติบโตขึ้น

โดยสรุปแล้ว แม้ว่าอุปกรณ์เทคโนโลยียุคใหม่นี้ จะช่วยให้พ่อแม่มีเวลาในการดูแลเลี้ยงดูลูกๆ ไปพร้อมกับการทำงานอย่างอื่นได้ แต่อุปกรณ์เทคโนโลยีดังกล่าว เป็นเพียงตัวช่วยให้กับพ่อแม่ยุคใหม่เท่านั้น พ่อแม่ควรพิจารณาเลือกใช้ให้เหมาะสม และควรตอบตัวเองให้ได้ว่ากำลังพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไปหรือไม่ เพราะ “เทคโนโลยีจะมีประโยชน์ ถ้าใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม” อย่าใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีมากเกินไป จนลืมใช้ความรักในการเลี้ยงดูลูก เพราะลูกๆ ต้องการความรัก ความอบอุ่น และการดูแลใส่ใจอย่างใกล้ชิดจากพ่อแม่

โดย นายเสกสันต์ พันธุ์บุญมี

ฝ่ายนโยบายและยุทธศาสตร์

สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล

แหล่งข้อมูล/อ้างอิง