บทความนี้ได้รับการเผยแพร่ครั้งแรกที่ BigData.go.th เว็บไซต์เพื่อการแบ่งปันความรู้และส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytics)
จากสถานการณ์ไวรัส COVID-19 ส่งผลให้หลายประเทศได้ออกมาตรการให้ประชาชนเว้นระยะห่างทางสังคมหรือ Social Distancing เพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 โดยในประเทศไทย คณะรัฐมนตรีมีมติตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2563 โดยการขอความร่วมมือให้ประชาชนอยู่บ้าน ลดการเดินทาง และขอให้ทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) เป็นต้น
เมื่อการคมนาคมน้อยลง อุตสาหกรรมหลาย ๆ แห่งจำเป็นที่จะต้องหยุดลง ส่งผลให้ก๊าซในชั้นบรรยากาศที่เกิดมาจากมนุษย์ (Anthropogenic Emissions) มีค่าลดลงอย่างต่อเนื่องในหลาย ๆ ประเทศ รวมไปถึงประเทศไทยด้วย
ภาพที่ 1 ภาพแสดงการจราจรที่ติดขัดน้อยลง เนื่องจากนโยบาย Work From Home
ที่มา : สถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ
โดยในครั้งนี้เราจะมาลองทำการสำรวจปริมาณก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (Nitrogen Dioxide; NO2) ที่เปลี่ยนแปลงในประเทศไทยโดยใช้ข้อมูล Big Data ที่ได้มาจากเซนเซอร์ที่ชื่อว่า TROPOMI (Tropospheric Monitoring Instrument) บนดาวเทียม Sentinel-5P
ทำไมต้องก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (Nitrogen Dioxide; NO2)
NO2 เป็นก๊าซที่มีอยู่ในธรรมชาติ สามารถเกิดขึ้นเองได้จากปรากฏการณ์ เช่น ฟ้าแล่บ ฟ้าผ่า หรือภูเขาไฟระเบิด แต่อย่างไรก็ตามก็นับว่าเป็นส่วนน้อยจากที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ ที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน ดังนั้น รถยนต์ และอุตสาหกรรม จึงเป็นแหล่งหลักที่ทำให้เกิดก๊าซชนิดนี้
ผลกระทบ NO2 ที่ความเข้มข้นสูงสามารถปฏิกิริยากับไอน้ำและออกซิเจนเกิดเป็นกรดไนตริก (Nitric Acid: HNO3) ปนเปื้อนอยู่ในน้ำฝนหรือที่เรียกว่าปรากฏการณ์ฝนกรด (Acid rain) ฝนกรดจะละลายปุ๋ยในดิน ทำให้พืชเติบโตช้า เมื่อไหลลงแหล่งน้ำ ก็จะทำให้แหล่งน้ำนั้น ๆ ไม่เอื้ออำนวยให้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ หรือแม้แต่ในเมืองเอง ฝนกรดก็ก่อให้เกิดการสึกกร่อนของสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ หรืออาจจะจับตัวรวมกับหมอกก่อให้เกิดหมอกควันพิษ (Smog) ที่ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจและจะส่งผลรุนแรงขึ้นกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคหอบหืด จนอาจรุนแรงถึงชีวิตได้
ระดับ NO2 ทั่วประเทศไทย
ผลการวิเคราะห์ระดับ NO2 เบื้องต้นจากข้อมูลภาพดาวเทียมในปี 2019 ของประเทศไทย พบว่าบริเวณที่มีความเข้มข้นของ NO2 สูงที่สุด จะอยู่ในเขตเมืองกรุงเทพและปริมณฑล รองลงมาจะเป็นบริเวณโรงงานปูนซีเมนต์ จังหวัดสระบุรี โรงไฟฟ้าแม่เมาะ จังหวัดลำปาง และนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง ดังที่แสดงในภาพที่ 2
ภาพที่ 2 ระดับ NO2 ทั่วประเทศไทยปี 2019
ที่มา : สถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ
ภาพรวมปริมาณ NO2 ของประเทศไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล จะมีการปล่อยออกมามากที่สุดในช่วง มีนาคม - เมษายน และตั้งแต่เดือน พฤษภาคม - ตุลาคม จะมีแนวโน้มลดลง อาจเนื่องมาจากได้น้ำฝนเข้ามาเจือจางความเข้มข้นของ NO2 ในอากาศ ก่อนจะเพิ่มขึ้นจนถึงสูงที่สุดอีกครั้งตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป
ภาพที่ 3 ค่าเฉลี่ยปริมาณ NO2 ที่เปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลของประเทศไทย
ที่มา : สถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ
กรุงเทพและปริมณฑล
ภาพที่ 4 ปริมาณ NO2 ในเขตเมืองกรุงเทพและปริมณฑล (ม.ค. – เม.ย. 2563)
ที่มา : สถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ
ในส่วนของปริมาณ NO2 ในเขตเมืองกรุงเทพและปริมณฑลนั้น แน่นอนว่าสาเหตุหลักมาจากมลพิษจากการคมนาคมขนส่ง จากภาพจะเห็นได้ว่าปริมาณ NO2 มีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ จากเดือนมกราคมอันเนื่องมากจาก การเดินทางกลับภูมิลำเนา และลดการเดินทางออกจากบ้านของประชาชน ภายหลังจากการประกาศใช้มาตรการให้ประชาชนเว้นระยะห่างทางสังคม
ภาพที่ 5 ปริมาณ NO2 โรงงานปูนซีเมนต์ จังหวัดสระบุรี (ม.ค. – เม.ย. 2563)
ที่มา : สถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ การสกัดหินแร่เผื่อนำมาใช้ในการผลิตปูนซีเมนต์ เป็นสาเหตุกิจกรรมหลักที่ก่อให้เกิดก๊าซ NO2 ในบริเวณนี้จากภาพถ่ายดาวเทียมเราจะสังเกตได้ว่า ปริมาณ NO2 มีการลดลงในเดือน มีนาคม อันเนื่องมาจากการลดกำลังการผลิตปูนซีเมนต์ของโรงงานปูน
นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง
ภาพที่ 6 ปริมาณ NO2 นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง (ม.ค. – เม.ย. 2563)
ที่มา : สถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ อุตสาหกรรมเคมี เป็นอีกกิจกรรมหลักที่เป็นสาเหตุก่อให้เกิดก๊าซ NO2 ในพื้นที่ของนิคมอุตสาหกรรม มาบตาพุด จากภาพถ่ายดาวเทียมเราจะสังเกตได้ว่า ปริมาณ NO2 มีการลดลงอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องมาจากการลดกำลังการผลิตลงของโรงงานภายในนิคม
โรงไฟฟ้าแม่เมาะ จังหวัดลำปาง
ภาพที่ 7 ปริมาณ NO2 โรงไฟฟ้าแม่เมาะ จังหวัดลำปาง (ม.ค. – เม.ย. 2563)
ที่มา : สถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ
ส่วนปริมาณ NO2 ที่เกิดจากโรงไฟฟ้าแม่เมาะนั้น มีแนวโน้มค่อนข้างคงที่ ซึ่งอาจหมายถึงไม่มีการลดกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าในระหว่างที่เกิดวิกฤตการโรคโควิด-19
Big Data จากภาพถ่ายดาวเทียม อาจช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลง
นี่เป็นเพียงประโยชน์หนึ่งในการใช้ข้อมูล Big Data จากภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อติดตามผลกระทบทางอ้อมของวิกฤตการณ์โรค COVID-19 ต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน ในช่วงที่เกิดการ Lockdown ประเทศ
อย่างไรก็ดี COVID-19 ทำให้เรามีโอกาสที่จะเห็นผลกระทบในเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเรา แต่ก็คงเป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงแค่ชั่วคราว จะเป็นไปได้หรือไม่ ที่เราควรจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน ซึ่งเราสามารถทำได้โดย การปรับปรุงระบบขนส่งสาธารณะเพื่อลดจำนวนรถยนต์บนท้องถนน ระบบขนส่งมวลชน และที่สำคัญที่สุดคือ การแทนที่เชื้อเพลิงฟอสซิลด้วยพลังงานหมุนเวียนและแหล่งคาร์บอนต่ำอื่น ๆ โดยการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ได้อย่างแน่นอน
โดย นววิทย์ พงศ์อนันต์
พิสูจน์อักษร ดร.ปริสุทธิ์ จิตต์ภักดี และ ปพจน์ ธรรมเจริญพร
สถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล
เอกสารอ้างอิง