คุณทิฆัมพร ทีปะปาล, หนึ่งในทีม animator ภาพยนตร์เรื่อง Avengers: Infinity War และ Solo: A Star Wars Story บรรยายหัวข้อเรื่อง “Animator ไทยไปฮอลลีวู้ด: จากผู้เสพสู่ผู้สร้างสรรค์” ได้เล่าถึง วัยเด็กว่าเป็นคนชอบดูการ์ตูน เช่นเรื่อง เจ้าขุนทอง หนูดีมีเรื่องเล่า และเป็นแฟนการ์ตูนช่อง 9 จากความชอบกลายเป็นความคลั่งไคล้ และซึมซับเข้าไปอยู่ในตัว จนเรียนมหาวิทยาลัย มีโอกาสดูหนังเรื่อง toy story แล้วชอบมาก จากความชอบกลายเป็นความสงสัย และเป็นแรงบันดาลใจ ในการสร้างหนังสั้น แบบ 3D เรื่อง toy story ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัย เริ่มฝึกฝน วาด 2D ในโปรแกรมแฟรช และพยายามวาด 3D โดยหาโปรแกรมใน youtube และหาความรู้จากหนังสือ และพยายามทดลองทำ animation ออกมา
ด้วยความสนุก เริ่มหัดปั้นดินน้ำมันเป็นโมเดล และเริ่มทำให้เคลื่อนไหว และหาว่ามีบริษัทไหนทำบ้าง พบอัญยาแอนิเมชั่น ที่มีความใกล้เคียง และนำผลงานของตนไปยื่นขอฝึกงาน เพราะเชื่อว่าจะได้ทำ 3D ได้ เห็นโปรแกรมมายา เห็นตัวคาแรคเตอร์มีชีวิต จากไม่มีสีเป็นมีสี จากคำถามเมื่อเริ่มฝึกงานว่าอยากทำอะไร ส่วนตัวรู้แต่ว่าอยากทำเป็น เมื่อได้รับโอกาสให้ทำบท และ storyboard
ในการทำหนัง animation มีหลายขั้นตอน เริ่มจากบท ทำ character design ทำโมเดลจากดินน้ำมัน ทำ texture surface เพื่อให้มีรายละเอียดผม เสื้อผ้า ทำ Rigging (ใส่กระดูกให้ตัวแสดง) เพื่อให้ตัวการ์ตูนเคลื่อนไหวได้ ต่อไปคอนโทรลเลอร์ เพื่อให้มีชีวิตเคลื่อนไหวได้ และแอนิเมเตอร์เพื่อจะใส่ชีวิตเข้าไป และรายละเอียดที่เป็นองค์ประกอบอื่นๆ ในฉาก และ character effect ซึ่งแล้วแต่หนังว่าต้องการหรือไม่ เพื่อให้ดูสมจริงมากขึ้น จากนั้น light render เพื่อจัดแสงให้เหมาะกับเรื่อง สุดท้ายเป็นแผนก composite เอาทุกภาพมารวมกันเป็นไฟล์วิดิโอ โดยใน 1 วินาที มี 24 เฟรม หลังจากฝึกงานได้ short film มา 1 เรื่อง
จากความชอบจินตนาการ และงานศิลปะ แต่ต้องมีความเป็นวิศวกรรม (เนื่องจากเงื่อนไขของทางบ้าน ที่เป็นครบอครัวข้าราชการ) จึงเริ่มงานที่แรกในสตูดิโอของเมืองไทย ขณะที่ยังเรียนอยู่ปีสุดท้าย โดยทำงานในสตูดิโอด้านโฆษณา CG ของเมืองไทย และมีโอกาสทำ Birdland ที่อัญญา แอนิเมชั่น พอจบก็ทำ เรื่อง Shelldon ต่อ หลังจากเรียนจบ ได้ไปหาประสบการณ์ทางดนตรี เพื่อหาความชอบ หาตัวตน ต่อมาได้มีโอกาสได้ดูตัวอย่างหนังเรื่อง 9 ศาตรา จึงเกิดความสนใจมาก และได้เข้ามาร่วมทีมทำหนังเรื่องนี้ ได้เรียนการทำหนัง และรู้สึกสนุกมาก แม้งานจะหนัก แต่ก็ทำงานอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
จบหนังเรื่องนี้ ใช้ความชอบมาผสมกับงานแอนิเมชั่น สร้างไฟล์งานแนว action sequence (คือการนำเอา SHOT ต่าง ๆ มาเรียงลำดับต่อกันเป็นเรื่องราว) แล้วโพสคลิปลง VVO ภายใน 1 คืน งานได้เข้าตา animator จากทั่วโลก หนึ่งในนั้นเป็น animation supervisor ที่ลอนดอน ที่ทำหนังแฮรี่ พอตเตอร์ Super Hero อย่าง Batman Superman ทุกภาค รวมถึงไตรภาค the Lord of the Rings และนี่เป็นจุดเริ่มที่ได้ไปทำงานที่ลอนดอน จาก 9 ศาสตรา สู่โลกของ Marvel
งานแรกที่ลอนดอน ได้เริ่มทำหนังเรื่อง King Arthur: Legend of the Sword (ภาคที่กำกับโดยกาย ริชชี่) การทำงานช่วงแรกมีปัญหาเรื่องภาษา สื่อสารไม่ได้ เลยใช้วิธีการถ่ายคาแรคเตอร์ และท่าทางของตนเอง ถ่ายเก็บไว้แล้วให้หัวหน้าทีมแอนิเมชั่นดู ถ้าได้รับ feedback ว่า yes ก็จะเริ่มทำไฟล์งาน ใช้วิธีนี้สื่อสาร ทำงานอยู่ 3 เดือน จนภาษาเริ่มดีขึ้น งานเริ่มราบรื่นขึ้นจนจบหนังเรื่อง King Arthur เมื่อทุกคนเห็นว่าตนเองทำงานอย่างมี passion จึงได้รับโอกาสทำเรื่อง Guardians of the Galaxy Vol. 2 (GOTG2) โดยใช้วิธีการทำงานแบบเดิม คือ การถ่ายคาแรคเตอร์ตัวเอง การเคลื่อนไหวของตนเอง ไปเสนอหัวหน้า
ด้วยความฝันที่อยากทำหนัง super hero ของ avengers ตั้งแต่เด็ก พอจบโปรเจค GOTG2 ก็ได้มีงานมาให้เลือก โดยเป็นหนัง Marvel กับ animation การ์ตูน Jungle Book / Christopher robin จึงไม่ลังเลที่จะเลือกรับงานของ Marvel คือภาพยนตร์ Thor: Ragnarok ต่อด้วย Avengers: Infinity War
บทเรียนจากการทำงานกับค่าย Hollywood พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แม้แต่บทหนังยังไม่แน่นอน ดีไซน์เปลี่ยนตลอด สิ่งที่ทำไปอาจไม่ได้ถูกใช้ เพราะปรับเปลี่ยนตามความต้องการของคนดูที่ research มา มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นตลอด หน้าที่ของแอนิเมเตอร์คือการปรับเปลี่ยนตามคนดู ทำให้ดีขึ้น ปรับปรุงตลอดเวลา พอจบหนังเรื่อง Avengers: Infinity Wat ได้มีโอกาสได้ไปร่วมโปรเจค Solo: A Star Wars Story และ Jurassic World นิดหน่อย
สุดท้ายนี้ขอฝากสำหรับน้องๆ ที่สนใจด้านนี้ว่า ขอให้ทุกคนมั่นใจว่าตนเองทำได้ ต้องฝึกฝนมากๆ แล้วความชำนาญจะเกิดขึ้นเอง ทำเต็มที่ แล้ววันหนึ่งจะมีคนเห็น เพราะโลกออนไลน์ หาสิ่งที่ชอบให้เจอ แล้วทำให้เต็มที่ ช่วงแรกจะยาก เมื่อฝึกฝนจนชำนาญแล้ว จะเกิดสไตล์ที่เป็นของตนเอง อย่าหยุด ก้าวต่อไปอย่างย่อท้อ และโลกจะหันมามองเรา และอย่าลืมว่าทุกอย่างไม่มีทางลัด และต้องหันกลับไปขอบคุณตัวเราในอดีตที่ให้โอกาสตัวเองออกมาล่าความฝัน และทำให้เป็นจริงในที่สุด