รู้จัก Electric Vehicle: xEV หรือ ยานยนต์ไฟฟ้า
ยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: xEV) คือ ยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ทั้งการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว หรือทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ แบ่งได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้
สถานการณ์โลก และกระแสความนิยม xEV
ยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: xEV) เป็นนวัตกรรมก้าวกระโดด (Disruptive Innovation) ที่ได้รับความสนใจมาตั้งแต่ในอดีต และเกิดกระแสความนิยมขึ้นเป็นช่วงๆ แต่ยังไม่สามารถใช้งานทดแทนยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine: ICE) ได้ เนื่องจากปัจจัยด้านราคาและคุณภาพของแบตเตอรี่ ราคาและประสิทธิภาพของรถ BEV (ระยะทางต่อการชาร์จไฟ) รวมถึงรูปแบบรถที่ยังมีให้เลือกน้อย และความคุ้มค่าในการขายต่อ ซึ่งกระแสความนิยม xEV แบ่งออกได้เป็น 3 ช่วง ดังต่อไปนี้
กระแสความนิยมครั้งที่ 1 เกิดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1993 เนื่องจากรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกาประกาศบังคับใช้ “มาตรการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” (Zero Emission Vehicle Standards: ZEV) แต่เนื่องจากข้อจำกัดด้านสมรรถนะการใช้งาน xEV จึงยังไม่เป็นที่นิยม
กระแสความนิยมครั้งที่ 2 เกิดอีกครั้งช่วงปี ค.ศ. 2010 เมื่อมีการเปิดตัวของ EV รุ่น Roadster จาก
เทสลา, i-MiEV จากมิตซูบิชิ และ Leaf จากนิสสัน แต่ยังมีข้อจำกัดเรื่องระยะทางวิ่งไม่เกิน 200 กม. ต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง และจำนวนสถานีอัดประจุไฟฟ้าสาธารณะมีน้อย ทำให้ผู้บริโภคมีความยุ่งยากในการใช้งาน
กระแสความนิยมครั้งที่ 3 ช่วงปี ค.ศ. 2017 - ปัจจุบัน เกิดจากปัญหามลพิษสะสมทางอากาศ การเผาไหม้เชื้อเพลิงของรถยนต์ ICE มีผลก่อให้เกิดมลพิษต่างๆ ก๊าซเรือนกระจก ฝุ่นละออง ไอเสีย ส่งผลให้โลกร้อนขึ้น เกิดภัยพิบัติรุนแรงมากขึ้น และจากข้อตกลงในสนธิสัญญาปารีส (COP-21) ที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลง 20-25% ในปี 2030 ประกอบกับความก้าวหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยีด้าน
วัสดุศาสตร์ ทำให้ประสิทธิภาพของแบตเตอรี่สูงขึ้น วัสดุมีน้ำหนักเบาขึ้น ต้นทุนลดลง ส่งผลให้ราคาแบตเตอรี่ลดลงถึง 89% ซึ่งคาดการณ์ได้ว่า ในปี ค.ศ. 2025 รถยนต์ไฟฟ้าจะมีราคาเทียบเคียงกับรถยนต์ ICE ในสมรรถนะที่เท่ากัน
นอกจากนี้ ยังมีการวิจัยและพัฒนาต่อยอด ทั้งในส่วนของเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง และรูปแบบการใช้งาน ให้ตอบสนองความต้องการได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น ตัวอย่างเช่น
โรลส์-รอยซ์ YASA และ Electro-flight ได้ร่วมกันพัฒนา‘เครื่องบินพลังงานไฟฟ้า’ เร็วที่สุดในโลก 480 กิโลเมตร/โมงในโครงการแอคเซล (Accelerating the Electrification of Flight: ACCEL) พัฒนาชุดแบตเตอรี่ที่มีกำลังสูงให้พลังงานมากเท่ากับการใช้เชื้อเพลิงในครัวเรือนถึง 250 หลัง สามารถบินได้ไกลเป็นระยะทาง 200 ไมล์ ด้วยการชาร์จไฟเพียงครั้งเดียว มีน้ำหนักเบา และมีระบบระบายความร้อนขั้นสูง
Aston Martin – supercar hybrid 950 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 1,000 นิวตันเมตร สามารถเร่งความเร็ว จาก 0-100 กม./ชม. ภายใน 2.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 330 กม./ชม.
“ฟอร์มูล่า อี” การแข่งรถพลังงานไฟฟ้า เปิดตัวเมื่อปี ค.ศ. 2014 ที่กรุงปักกิ่งประเทศจีน ปัจจุบันมีทีมเข้าร่วมแข่งขัน 12 ทีม นักแข่ง 24 คน และรถแข่ง 24 คัน โดยใช้รถที่ผลิตโดยบริษัท “สปาร์ค เรซซิ่ง เทคโนโลยี” ซึ่งใช้ระบบส่งกำลังเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว 250 แรงม้า หรือ 190 กิโลวัตต์ สามารถเร่งความเร็ว 0-100 ภายใน 3 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 225 กม./ชม. และสามารถเจนเนอร์เรทพลังงานไฟฟ้ากลับไปชาร์ตที่แบตเตอร์รี่ระหว่างการแข่งขันได้ด้วย
สายการบิน United Airlines ได้ร่วมลงทุนในนาม United Airlines Ventures (UAV) กับ Breakthrough Energy Ventures (BEV) และ Mesa Airlines ในบริษัทผลิตเครื่องบิน Heart Aerospace พัฒนาเครื่องบินที่ใช้พลังงานไฟฟ้าขนาดเล็กรุ่น ES-19 สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ 19 ที่นั่ง มีพิสัยการบิน สูงสุด 400 กิโลเมตร ติดตั้งเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ โดยสายการบิน United Airlines และสายการบิน Mesa Airlines ได้สั่งซื้อล่วงหน้า 100 ลำ เพื่อเปิดให้บริการในปี 2026 ซึ่งคาดว่าจะทำให้ต้นทุนลดลง สามารถให้บริการเฉพาะกลุ่ม/สถานที่ได้มากขึ้น
นโยบาย xEV ในต่างประเทศ
จากมาตรการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตามข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งมีประเทศสมาชิก 195 ประเทศได้ตกลงร่วมกันที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เพื่อลดอุณหภูมิโลกลง 2 องศาเซลเซียส ทำให้หลายประเทศเริ่มประกาศแนวนโยบายการยกเลิกการใช้ยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine: ICE) และมุ่งไปสู่เป้าหมายการใช้ยานยนต์
ไร้มลพิษ (Zero Emission Vehicles: ZEV) และ ACES (Autonomous Connected Electric and Shared Vehicles) ตัวอย่างเช่น นอร์เวย์ที่ได้ประกาศหยุดจำหน่ายรถใหม่ที่ใช้เครื่องยนต์ ICE ให้ได้ภายในปี 2024 อังกฤษและอีกหลายประเทศในยุโรปที่จะหยุดจำหน่ายรถใหม่ที่ใช้เครื่องยนต์ ICE ภายในปี 2030 ขณะที่สิงคโปร์ตั้งเป้าหมายงดจำหน่ายรถใหม่ที่ใช้เครื่องยนต์ ICE ญี่ปุ่นที่ประกาศยุติการขายรถยนต์เครื่องยนต์เบนซินภายในปี 2040สำหรับประเทศไทยได้มีการผลักดันให้มีการจดทะเบียนยานยนต์ใหม่ในประเทศทั้งหมดเป็นยานยนต์ ZEV ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2035 เป็นต้นไป
ที่มา: https://elexaev.com/2021/03/10/worldwide_evtrend-inthenext-10years/
การส่งเสริมให้เกิดการงาน xEV ในนานาประเทศ ไม่เพียงแต่เกิดขึ้นจากแรงผลักดันของกระแส รักษ์สิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน แนวโน้มที่หลายประเทศตั้งเป้าหมายว่าจะไม่มีรถที่ใช้เครื่องยนต์ ICE หรือยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมันในอีกไม่เกิน 25 ปีข้างหน้า ยังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อโครงสร้างการผลิตกับห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมรถยนต์ 1) เกิดการเปลี่ยนขั้วของประเทศผู้นำด้านพลังงานจากกลุ่มโอเปก เป็นกลุ่มประเทศที่มีแร่ลิเทียม และแร่โคบอลต์ ที่เป็นส่วนประกอบหลักของการผลิตแบตเตอรี่ 2) เกิดเปลี่ยนขั้วผู้นำด้านการผลิตรถยนต์ โดยจีนได้เร่งพัฒนาจนมีจำนวนรถยนต์ EV มากที่สุดหรือกว่า 30% ของตลาดโลก 3) เกิดการผสมผสานของบริษัทซอฟท์แวร์ และอุปกรณ์ไอทีที่ปรับตัวให้เข้ากับกระแสรถยนต์ EV อาทิ google, apple, Amazon, Microsoft, Facebook และจะเห็นการร่วมทุนระหว่างบริษัทผู้ผลิตรถยนต์กับบริษัทด้านเทคโนโลยี เช่น Tesla กับ Panasonic เนื่องจากรถยนต์ในอนาคตไม่เพียงแต่เป็นพาหนะเท่านั้นยังต้องเป็นรถยนต์ที่เชื่อมต่อกับ IoT ผ่านระบบ Software ต่างๆ ให้สามารถวิเคราะห์และสื่อสาร เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ได้ในหลายหลายมิติมากขึ้น
สถานการณ์ xEV ในประเทศไทย
ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านการผลิตและการส่งออกอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาค ซึ่งแนวโน้มในอนาคตเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นว่าชิ้นส่วนรถยนต์แบบที่ไทยผลิตอยู่นั้น จะลดลงเรื่อยๆ ในตลาดโลก อันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยียานยนต์เพื่อสิ่งแวดล้อม จากเชื้อเพลิงสู่พลังงานไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ (BEV) รถยนต์ประเภทไฮบริด (Hybrid) และรถยนต์เซลล์เชื้อเพลิง (FCV) รัฐบาลไทยจึงได้ให้ความสำคัญ และผลักดันให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยได้รับความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ สมาคม และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกำหนดนโยบาย ขับเคลื่อน และส่งเสริมให้เกิด
การพัฒนา เตรียมความพร้อม รองรับการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในฐานะยานยนต์ยุคใหม่ (Next generation automotive) ให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยมีการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการวิจัย และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อาทิ รถโดยสารไฟฟ้า/รถโดยสารประจำทาง รถโดยสารขนาดเล็ก รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า เรือไฟฟ้า ชุดดัดแปลงยานยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ วัสดุ/อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงด้านมาตรฐานและการทดสอบยานยนต์ไฟฟ้า และการพัฒนากำลังคนอีกด้วย
การส่งเสริมและพัฒนายานยนต์สมัยใหม่ในประเทศไทย
หากประเทศไทยจะรักษาความเป็นผู้นำด้านการผลิตและการส่งออกอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาค จำเป็นต้องปรับเปลี่ยน เตรียมพร้อม และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมฯ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับ
4 ประเทศในอาเซียน ที่ตั้งเป้าหมายจะพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าให้เป็นอันดับ 1 ของ ASEAN (ASEAN EV HUB) และจะก้าวไปสู่ลำดับ 2 ของโลก รองจากประเทศจีน เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ลงทุนได้ง่าย ใช้เงินลงทุนน้อย อุปกรณ์ซับซ้อนน้อยกว่า การผลิตรถยนต์แต่ละรุ่นสามารถผลิตได้ด้วยจำนวนน้อย และมีความเป็นไปได้ที่แต่ละประเทศจะสามารถผลิตยานยนต์ไฟฟ้าร้อยละ 100 ภายใน 5-10 ปี
การเตรียมความพร้อมของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า นอกจากรัฐบาลจะต้องกำหนดวิสัยทัศน์ และเป้าหมายให้ชัดเจนแล้ว ยังต้องมีการส่งเสริมการใช้งาน xEV ในรูปแบบต่างๆ การสร้างระบบนิเวศน์ให้มีความพร้อมต่อการใช้งาน อาทิ การพัฒนาผู้ประกอบการไทย การพัฒนากำลังคน การพัฒนามาตรฐาน/ข้อบังคับ/กฎระเบียบ/กฎหมาย การสร้าง/เตรียมความพร้อมด้านการใช้งาน (การสร้างสถานีอัดประจุไฟฟ้าสาธารณะ) เป็นต้น ซึ่งคณะอนุกรรมาธิการยานยนต์ไฟฟ้า ในคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร มีมติเห็นชอบในหลักการของสมุดปกขาว “การส่งเสริมและพัฒนายานยนต์สมัยใหม่” และให้นำข้อมูลผนวกเป็นเนื้อหาสำคัญในรายงานผลการศึกษานโยบายยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย ในเดือนกันยายน 2563
สิ่งสำคัญอีกประการ คือ การเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป็นไปตามทิศทางการพัฒนาในอนาคต มุ่งสู่การพัฒนายานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Autonomous Vehicles) หรือยานยนต์ไร้คนขับ (Driverless Vehicles) การเชื่อมต่อระหว่างยานพาหนะ (Connected Vehicles) การปรับให้เป็นระบบไฟฟ้า (Electrification) และยานยนต์แห่งการแบ่งปัน (Shared Vehicles)
โดย การใช้วิทยาการดิจิทัล ต่าง ๆ อาทิ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ซึ่งมีเป้าหมายในการทำให้คนมีความสะดวกสบาย และมีความปลอดภัยในการดำเนินชีวิต โดยการสร้างนวัตกรรมรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Self-Driving Car) มีการบูรณาการเทคโนโลยีหลัก 4 ด้านเข้าด้วยกัน
จะเห็นได้ว่าในอนาคตอันใกล้นี้อุตสาหกรรมดิจิทัล มีแนวโน้มที่จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างมูลค่า เสริมสร้างความเข้มแข็ง ความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า หรืออุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ซึ่งทุกภาคส่วนควรให้ความสำคัญ ผลักดันให้เกิดการพัฒนา และต่อยอดทั้งในระดับนโยบาย ไปจนถึงการสร้างสภาวะแวดล้อมให้เกิดการพัฒนาไปในทิศทางเดียวกัน พร้อมลดข้อจำกัดด้านการใช้งานในปัจจุบัน อาทิ การบริหารจัดการเรื่องการผลิตไฟฟ้า การสร้างแพลตฟอร์มการให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้าสาธารณะ เป็นต้น
โดย นางวนิตา บุญภิรักษ์
ฝ่ายนโยบายและยุทธศาสตร์
สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล
อ้างอิงจาก: